เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันออกซึ่งจัดเป็นเครื่องเทศและยาสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมทั่วโลกมาเป็นเวลานานกว่าพันพันปี ส่วนที่สามารถนำไปรับประทานได้คือส่วนแง่งลำต้นใต้ดิน ไม่เพียงเท่านั้น ขิงยังเป็นที่รู้จักในฐานะ “ซุปเปอร์ ฟู้ดส์” หรืออาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการในระดับสูง จากการวิจัยพบว่าขิงสามารถแก้อาการท้องไส้ปั่นป่วน บรรเทาอาการคลื่นใส้และอาการวิงเวียนศีรษะซึ่งรวมทั้งอาการเมารถและเรือ ทั้งนี้ขิงยังสามารถรักษาอาการไข้ทั่วไป นอกจากนี้น้ำมันขิงสกัดยังเป็นสารออกฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
ประเทศไทยนั้นมีการส่งออกสมุนไพรมากเป็นอันดับที่สองรองจากประเทศจีน ประเทศไทยมีแหล่งเพาะปลูกขิงหลัก 2 ที่ ที่แรกคือบริเวณส่วนกลางของจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งสามารถผลิตขิงที่เหมาะต่อการนำไปรับประทานสดเนื่องจากให้รสเผ็ดและมีกากเส้นใยอาหารมากกว่า และอีกที่คือจังหวัดเชียงรายพื้นที่เหนือสุดของประเทศที่สามารถผลิตขิงซึ่งให้รสสัมผัสนุ่มนวลและมีกากเส้นใยอาหารน้อย จึงเหมาะอย่างยิ่งต่อการนำมาผลิตเป็นขิงดองเย็นอะซาซุเกะและขิงแช่อิ่ม
“ขิงทุ่งข้าว” ดังชื่อที่ถูกเรียกตามลักษณะการเพาะปลูกบนพื้นที่ท้องนาลุ่มที่มักมีน้ำขังอยู่ตลอดเวลา ความชุ่มชื้นที่ได้จากน้ำทำให้ขิงประเภทนี้ให้สัมผัสและรสชาติที่นุ่มนวลที่สุด
การเพาะปลูกจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เกษตรกรจะเริ่มเลือกลำต้นที่เติบโตเต็มที่ซึ่งปราศจากโรคและแมลงรบกวน และเริ่มปฏิบัตการลงหลุมปลูกในช่วงหน้าฝนราวต้นเดือนเมษายน ในฤดูของการเติบโตจะมีการให้ปุ๋ยชนิดต่างๆ ประมาณสองถึงสามครั้ง ปุ๋ยที่นำมาใช้ได้แก่ ปุ๋ยคอก ขี้เลื่อย ยูเรีย ฟอสเฟต และ โพแทสเซียมไนเตรด ฤดูการเก็บเกี่ยวขิงอ่อนที่มีคุณภาพเหมาะสมจะนำไปผลิตเป็นขิงการิมีระยะเวลาในการเพาะปลูกประมาณ 120 วันหรือในช่วยปลายเดือนกรกฎาถึงต้นเดือนสิงหาคม ในช่วงนี้กากเส้นใยอาหารในขิงจะปรากฎน้อยมากจนแทบจะมองไม่เห็น ส่วนขิงที่มีระยะเวลาในการปลูกมากกว่าจะถูกเรียกว่าขิงกึ่งการิ ขิงชนิดนี้ถูกเก็บเกี่ยวเมื่อมีอายุ ราวห้าเดือน ขิงที่มีอายุมากที่สุดคือขิงคิซามิซึ่งมีกากเส้นใยอาหารมากและมีเนื้อสีเหลือง ซึ่งถูกเก็บเกี่ยวสายที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน
ทีทีเอจัดซื้อขิงจากตัวแทนค้าที่ได้รับการรับรองเท่านั้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จะอยู่ในมาตรฐานสูงสุดที่ผู้บริโภคพึงพอใจ โดยเหล่าตัวแทนค้าจะได้รับมอบหมายให้เข้ากำกับดูแลการดำเนินงานของเกษตรกรแบบวันต่อวัน ที่สำคัญที่สุดคือคณะผู้เชี่ยวชาญจะช่วยตัดสินเวลาในการเริ่มเก็บเกี่ยวของแต่ละฟาร์ม